ในโลกของการทำเว็บไซต์ด้วย WordPress คงไม่มีใครไม่รู้จักปลั๊กอินที่มีไอคอนรูปสัญญาณไฟจราจรสีเขียว ส้ม แดง อันเป็นเอกลักษณ์ ปลั๊กอินนั้นคือ Yoast SEO ที่เปรียบเสมือน “ปรมาจารย์” หรือ “โค้ชส่วนตัว” ด้าน SEO (Search Engine Optimization) ที่ติดตั้งมาให้พร้อมในหลังบ้านของเว็บไซต์คุณ
หลายคนอาจเคยสร้างเว็บไซต์ที่สวยงาม มีเนื้อหาที่ยอดเยี่ยม แต่กลับต้องเผชิญกับความจริงอันน่าเจ็บปวด นั่นคือ “ไม่มีใครมองเห็น” เว็บไซต์ของคุณบนหน้าผลการค้นหาของ Google เลย ปัญหานี้เปรียบเหมือนการมีร้านค้าที่หรูหราที่สุด แต่ตั้งอยู่ในซอยลึกที่ไม่มีใครรู้จัก Yoast SEO คือเครื่องมือที่จะช่วยปูทาง สร้างถนนเส้นหลัก และติดป้ายบอกทางให้ทั้งผู้ใช้งานและ Search Engine วิ่งตรงมาที่เว็บไซต์ของคุณได้อย่างง่ายดาย
บทความนี้ไม่ได้เขียนขึ้นเพื่อบอกว่า Yoast SEO คือยาวิเศษที่จะเสกให้คุณติดอันดับ 1 ในชั่วข้ามคืน แต่จะเจาะลึกในฐานะผู้เชี่ยวชาญว่า เหตุใดปลั๊กอินตัวนี้จึงกลายเป็นมาตรฐานของวงการ WordPress และจะแนะนำวิธีใช้ขุมพลังของมันเพื่อปรับปรุงคุณภาพเว็บไซต์ของคุณอย่างยั่งยืน เปลี่ยนจากผู้ใช้งานธรรมดาให้กลายเป็นผู้ที่เข้าใจกลยุทธ์ SEO และนำไปปรับใช้ได้อย่างมืออาชีพ
Yoast SEO คืออะไร? ทำไมถึงสำคัญ?
ก่อนจะไปไกลกว่านี้ เรามาทำความเข้าใจแก่นแท้ของ Yoast SEO กันก่อน
Yoast SEO คือ ปลั๊กอิน (Plugin) สำหรับ WordPress ที่ถูกออกแบบมาเพื่อช่วยให้การทำ On-Page SEO เป็นเรื่องง่ายและมีประสิทธิภาพสูงสุดสำหรับทุกคน ไม่ว่าคุณจะเป็นบล็อกเกอร์มือใหม่, เจ้าของธุรกิจขนาดเล็ก, หรือแม้แต่นักการตลาดดิจิทัลมืออาชีพ
ภารกิจหลักของ Yoast SEO แบ่งออกเป็น 2 ส่วนใหญ่ๆ คือ:
- การปรับแต่งทางเทคนิค (Technical SEO Optimization): จัดการโครงสร้างเบื้องหลังที่ซับซ้อนของเว็บไซต์ให้เป็นมิตรกับ Search Engine มากที่สุด เช่น การสร้าง XML Sitemaps, การจัดการไฟล์ robots.txt, การตั้งค่า Schema Markup เบื้องต้น และการจัดการ Breadcrumbs ทั้งหมดนี้ Yoast ช่วยจัดการให้โดยอัตโนมัติหรือมีหน้าจอให้ตั้งค่าอย่างง่ายดาย
- การวิเคราะห์เนื้อหา (Content SEO Analysis): นี่คือส่วนที่ผู้ใช้งานส่วนใหญ่คุ้นเคยที่สุด เป็นการให้คำแนะนำแบบเรียลไทม์ขณะที่คุณกำลังเขียนบทความหรือสร้างหน้าเพจ เพื่อให้เนื้อหานั้นๆ มีคุณภาพสูงสุดทั้งในสายตาของผู้อ่านและ Search Engine
ความสำคัญของ Yoast SEO ไม่ได้อยู่ที่การ “ทำ SEO ให้” แต่อยู่ที่การ “สอนและแนะนำ” ให้เราทำ SEO ได้อย่างถูกต้อง มันเปลี่ยนเรื่องที่เคยซับซ้อนและเต็มไปด้วยศัพท์เทคนิคให้กลายเป็นเช็กลิสต์ที่เข้าใจง่าย ผ่านระบบ “ไฟจราจร” ที่เป็นมิตรนั่นเอง
เจาะลึกฟีเจอร์เด่น: ระบบ “ไฟจราจร” อัจฉริยะที่ใครๆ ก็ใช้เป็น
หัวใจของ Yoast SEO ที่ทำให้มันโด่งดังและแตกต่างคือระบบวิเคราะห์แบบสดๆ ที่แบ่งออกเป็น 2 แท็บหลักใต้กล่องแก้ไขเนื้อหาของคุณ: SEO และ Readability
1. การวิเคราะห์ SEO (SEO Analysis)
แท็บนี้จะโฟกัสไปที่การปรับแต่งเนื้อหาของคุณให้สอดคล้องกับ “คีย์เวิร์ด” หรือ “วลีสำคัญหลัก” (Focus Keyphrase) ที่คุณต้องการให้หน้านี้ติดอันดับ
ขั้นตอนการทำงาน:
- กำหนด Focus Keyphrase: สิ่งแรกที่คุณต้องทำคือบอก Yoast ว่าบทความนี้เกี่ยวกับอะไร เช่น ในบทความนี้ วลีสำคัญหลักอาจเป็น “Yoast SEO”
- Yoast เริ่มการวิเคราะห์: ทันทีที่คุณป้อนวลีสำคัญหลักลงไป Yoast จะเริ่มตรวจสอบองค์ประกอบต่างๆ ในหน้าบทความของคุณและให้คะแนนเป็นสีต่างๆ (แดง, ส้ม, เขียว) พร้อมคำอธิบาย
เช็กลิสต์สำคัญที่ Yoast ตรวจสอบ:
- Outbound links (ลิงก์ออกไปภายนอก): บทความของคุณมีการอ้างอิงไปยังเว็บไซต์อื่นที่มีคุณภาพหรือไม่?
- Internal links (ลิงก์ภายใน): คุณได้เชื่อมโยงไปยังบทความหรือหน้าอื่นๆ ภายในเว็บไซต์ของคุณเองหรือไม่? เพื่อสร้างโครงข่ายเนื้อหาที่แข็งแรง
- Keyphrase in introduction: คุณใส่วลีสำคัญหลักไว้ในย่อหน้าแรกของบทความหรือไม่?
- Keyphrase length: วลีสำคัญหลักยาวหรือสั้นเกินไปหรือไม่?
- Keyphrase density (ความหนาแน่นของคีย์เวิร์ด): คุณใช้วลีสำคัญหลักซ้ำๆ ในบทความบ่อยแค่ไหน? (การใช้มากเกินไปอาจถูกมองว่าเป็นสแปม)
- Keyphrase in meta description: วลีสำคัญหลักปรากฏอยู่ในคำอธิบายสั้นๆ (Meta Description) ที่จะแสดงบน Google หรือไม่?
- Meta description length: คำอธิบายสั้นๆ นั้นมีความยาวที่เหมาะสมหรือไม่? (ไม่สั้นหรือยาวจนโดนตัด)
- Keyphrase in title: ชื่อเรื่อง (SEO Title) ของคุณมีวลีสำคัญหลักอยู่หรือไม่ และควรวางไว้ตอนต้นๆ เพื่อให้เด่นชัด
- SEO title width: ความยาวของชื่อเรื่องเหมาะสมกับการแสดงผลบน Google หรือไม่?
- Keyphrase in slug: URL ของบทความ (เช่น
yourwebsite.com/yoast-seo
) มีวลีสำคัญหลักหรือไม่? - Image alt attributes: รูปภาพในบทความมี “คำอธิบายรูปภาพ” (Alt Text) และมีวลีสำคัญหลักอยู่ด้วยหรือไม่?
เป้าหมาย: คือการปรับแก้ตามคำแนะนำจนกระทั่งได้ “ไฟสีเขียว” ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ข้อควรจำคือ อย่าบูชาไฟเขียวจนเกินไป การเขียนเพื่อผู้อ่านต้องมาก่อนเสมอ หากการปรับแก้บางอย่างทำให้บทความอ่านไม่รู้เรื่อง ก็ไม่จำเป็นต้องฝืนทำ
2. การวิเคราะห์ความสามารถในการอ่าน (Readability Analysis)
Google ไม่ได้รักแค่เว็บไซต์ที่ใช้คีย์เวิร์ดได้ถูกต้อง แต่รักเว็บไซต์ที่มอบประสบการณ์ที่ดีให้แก่ผู้ใช้งานด้วย หากผู้อ่านเข้ามาแล้วเจอแต่กำแพงตัวอักษรที่อ่านยาก พวกเขาก็จะกดปิดทันที (ส่งผลให้ Bounce Rate สูง ซึ่งไม่ดีต่อ SEO)
แท็บ Readability ของ Yoast จึงเข้ามาช่วยวิเคราะห์โครงสร้างการเขียนของคุณ โดยไม่สนใจคีย์เวิร์ด แต่สนใจ “คนอ่าน” เป็นหลัก
เช็กลิสต์ที่ Yoast Readability ตรวจสอบ:
- Flesch Reading Ease: เป็นค่าคะแนนที่วัดความง่ายในการอ่าน ยิ่งคะแนนสูงยิ่งอ่านง่าย Yoast จะบอกว่าบทความของคุณอ่านง่ายหรือยากเกินไปสำหรับกลุ่มเป้าหมายทั่วไป
- Passive voice (ประโยคกรรมวาจก): คุณใช้ประโยคที่ประธานเป็นผู้ถูกกระทำ (เช่น “บทความถูกเขียนโดยฉัน”) มากเกินไปหรือไม่? การใช้ประโยคที่ประธานเป็นผู้กระทำ (Active Voice: “ฉันเขียนบทความ”) จะช่วยให้เนื้อหามีพลังและเข้าใจง่ายกว่า
- Consecutive sentences: คุณขึ้นต้นประโยคด้วยคำเดียวกันซ้ำๆ ติดต่อกันหลายประโยคหรือไม่?
- Subheading distribution: คุณมีการใช้หัวข้อย่อย (H2, H3) เพื่อแบ่งเนื้อหาออกเป็นส่วนๆ อย่างเหมาะสมหรือไม่? ช่วยให้ผู้อ่านสแกนเนื้อหาได้ง่ายขึ้น
- Paragraph length: ย่อหน้าของคุณยาวเกินไปหรือไม่? ย่อหน้าที่สั้นกระชับจะทำให้อ่านสบายตากว่าบนหน้าจอ
- Sentence length: ประโยคของคุณยาวเหยียดเกินไปหรือไม่? ประโยคที่สั้นลงจะช่วยให้เข้าใจความหมายได้เร็วขึ้น
- Transition words (คำเชื่อม): คุณใช้คำเชื่อม (เช่น “ดังนั้น”, “นอกจากนี้”, “ในทางกลับกัน”) เพียงพอหรือไม่? คำเหล่านี้ช่วยให้การอ่านลื่นไหลและเชื่อมโยยงแนวคิดได้ดีขึ้น
การได้ “ไฟเขียว” ในส่วนของ Readability ถือเป็นชัยชนะที่สำคัญ เพราะมันหมายความว่าคุณได้สร้างสรรค์เนื้อหาที่มีคุณภาพและเป็นมิตรกับผู้อ่านอย่างแท้จริง
ฟีเจอร์ทรงพลังอื่นๆ ที่คุณไม่ควรพลาด
นอกเหนือจากระบบไฟจราจรแล้ว Yoast SEO ยังมีเครื่องมือเบื้องหลังที่สำคัญอย่างยิ่งอีกหลายอย่าง:
- XML Sitemaps: Yoast จะสร้างและอัปเดตแผนผังเว็บไซต์ (Sitemap) ในรูปแบบไฟล์ XML ให้โดยอัตโนมัติ ไฟล์นี้เปรียบเสมือนแผนที่ที่บอก Google Bot ว่าเว็บไซต์ของคุณมีหน้าอะไรบ้าง และแต่ละหน้ามีความสำคัญอย่างไร ช่วยให้ Google เก็บข้อมูลเว็บไซต์ของคุณได้ครบถ้วนและรวดเร็วยิ่งขึ้น
- Schema Markup (Structured Data): นี่คือโค้ดชนิดพิเศษที่ช่วยอธิบายให้ Search Engine “เข้าใจ” ความหมายของเนื้อหาในหน้าเว็บของคุณได้ลึกซึ้งขึ้น เช่น บอกว่าหน้านี้คือ “บทความ”, หน้านี้คือ “ข้อมูลองค์กร”, หรือหน้านี้คือ “คำถามที่พบบ่อย (FAQ)” ซึ่ง Yoast จะช่วยเพิ่ม Schema พื้นฐานที่จำเป็นให้โดยอัตโนมัติ และยังให้คุณตั้งค่าเพิ่มเติมได้ เช่น การระบุว่าเป็นเว็บไซต์ของบุคคลหรือองค์กร
- การควบคุมการแสดงผลบนโซเชียลมีเดีย (Social Previews): เคยแชร์ลิงก์ไปบน Facebook หรือ Twitter แล้วรูปภาพ, ชื่อเรื่อง, หรือคำอธิบายไม่สวยงามหรือไม่? Yoast ช่วยให้คุณสามารถกำหนดภาพหน้าปก (Featured Image), ชื่อเรื่อง (Title), และคำอธิบาย (Description) ที่จะแสดงเมื่อมีการแชร์ลิงก์ของคุณบนโซเชียลมีเดียได้โดยเฉพาะ ทำให้โพสต์ของคุณน่าคลิกมากขึ้น
- Breadcrumbs: คือแถบนำทางที่แสดงตำแหน่งปัจจุบันของผู้ใช้ในโครงสร้างเว็บไซต์ (เช่น หน้าแรก > บล็อก > บทความ SEO > Yoast SEO) ซึ่งมีประโยชน์ทั้งต่อผู้ใช้งาน (ช่วยให้ไม่หลง) และต่อ SEO (ช่วยให้ Google เข้าใจลำดับชั้นของเว็บไซต์คุณ) Yoast มีเครื่องมือช่วยให้คุณเปิดใช้งานฟีเจอร์นี้ได้อย่างง่ายดาย
Yoast SEO: ฟรี vs. พรีเมียม คุ้มค่าที่จะจ่ายหรือไม่?
คำถามคลาสสิกที่หลายคนสงสัยคือ “เวอร์ชันฟรีเพียงพอแล้วหรือยัง?”
คำตอบคือ: สำหรับผู้ใช้งานส่วนใหญ่ โดยเฉพาะบล็อกเกอร์มือใหม่และเว็บไซต์ธุรกิจขนาดเล็ก เวอร์ชันฟรีนั้น “ทรงพลังและเพียงพออย่างยิ่ง” คุณสามารถเข้าถึงฟีเจอร์หลักทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้น ตั้งแต่การวิเคราะห์ SEO และ Readability ไปจนถึงการจัดการ Sitemaps
แล้ว Yoast SEO Premium เหมาะกับใคร?
เวอร์ชันพรีเมียมเหมาะสำหรับนักการตลาดมืออาชีพ, เอเจนซี่, หรือเว็บไซต์ขนาดใหญ่ที่ต้องการเครื่องมือขั้นสูงเพื่อชิงความได้เปรียบในการแข่งขัน เช่น:
- Multiple Focus Keyphrases: สามารถใส่คีย์เวิร์ดหลัก, คีย์เวิร์ดรอง, และคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องได้สูงสุด 5 คำในบทความเดียว
- Internal Linking Suggestions: Yoast จะวิเคราะห์เนื้อหาที่คุณกำลังเขียนและ “แนะนำ” บทความอื่นๆ ในเว็บของคุณที่ควรค่าแก่การลิงก์ไปหา ช่วยประหยัดเวลาและสร้างโครงข่ายลิงก์ภายในที่สมบูรณ์แบบ
- Redirect Manager: เมื่อคุณลบหน้าหรือเปลี่ยน URL เก่า การทำ Redirect (การเปลี่ยนเส้นทาง) ไปยัง URL ใหม่เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งเพื่อไม่ให้เสียค่าพลัง SEO ที่เคยมีมา ฟีเจอร์นี้ช่วยให้คุณจัดการ Redirect ได้ง่ายๆ จากใน WordPress เลย
- Synonym & Related Keyphrases: เวอร์ชันพรีเมียมฉลาดพอที่จะเข้าใจ “คำพ้องความหมาย” และ “วลีที่เกี่ยวข้อง” ทำให้คุณเขียนได้อย่างเป็นธรรมชาติมากขึ้นโดยไม่ต้องยัดเยียดคีย์เวิร์ดคำเดิมซ้ำๆ
- 24/7 Support & Ad-Free: ได้รับการสนับสนุนทางเทคนิคโดยตรงจากทีมงาน Yoast และไม่มีโฆษณามากวนใจ
สรุปคือ: เริ่มต้นด้วยเวอร์ชันฟรีก่อนเสมอ เรียนรู้และใช้งานมันให้คล่อง เมื่อธุรกิจของคุณเติบโตและคุณต้องการความสามารถขั้นสูงเพื่อการแข่งขันที่จริงจังมากขึ้น การลงทุนในเวอร์ชันพรีเมียมถือว่าคุ้มค่าอย่างแน่นอน
สรุปสาระสำคัญ: ทำไม Yoast SEO ถึงเป็น “ปรมาจารย์” ที่ทุกคนต้องมี
Yoast SEO ไม่ได้เป็นเพียงปลั๊กอิน แต่เป็นระบบนิเวศด้านการปรับแต่งเว็บไซต์ที่ครบวงจร เหตุผลที่มันยืนหยัดเป็นผู้นำและได้รับความไว้วางใจมาอย่างยาวนาน สรุปได้ดังนี้:
- ทำให้ SEO เป็นเรื่องง่ายและจับต้องได้: Yoast แปลงทฤษฎี SEO ที่ซับซ้อนให้กลายเป็นเช็กลิสต์ที่ปฏิบัติตามได้จริงผ่านระบบไฟจราจร มันลดกำแพงทางเทคนิค ทำให้ทุกคนสามารถเริ่มปรับปรุงเว็บไซต์ของตนเองได้ทันทีโดยไม่ต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญมาก่อน
- ส่งเสริมการสร้างคอนเทนต์คุณภาพเพื่อมนุษย์: นอกเหนือจากการเอาใจเครื่องมือค้นหา (Search Engine) แล้ว Yoast ยังให้ความสำคัญกับ “ผู้อ่าน” อย่างยิ่งยวดผ่านการวิเคราะห์ Readability ซึ่งเป็นการบังคับให้ผู้สร้างเนื้อหาต้องคำนึงถึงประสบการณ์ของผู้อ่านเป็นอันดับแรก ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางของ Google ในปัจจุบันที่ให้ความสำคัญกับ User Experience มากขึ้นเรื่อยๆ
- เป็นเครื่องมือที่ครบครันในหนึ่งเดียว (All-in-One): สำหรับ On-Page SEO และ Technical SEO ขั้นพื้นฐานถึงปานกลาง Yoast ตัวเดียวแทบจะเอาอยู่ มันจัดการตั้งแต่โครงสร้างเบื้องหลังอย่าง Sitemaps และ Schema ไปจนถึงการวิเคราะห์เนื้อหาในระดับบทความ ทำให้คุณไม่ต้องวุ่นวายกับการติดตั้งปลั๊กอินหลายตัวที่อาจทำงานทับซ้อนกัน
ท้ายที่สุดแล้ว พลังที่แท้จริงของ Yoast SEO คือการเป็น “โค้ช” ที่คอยกระซิบอยู่ข้างๆ ขณะที่คุณทำงาน มันมอบทั้งความรู้และเครื่องมือให้คุณพัฒนาทักษะด้าน SEO ไปพร้อมๆ กับการพัฒนาเว็บไซต์ของคุณเอง และนี่คือเหตุผลว่าทำไมมันถึงไม่ใช่แค่ปลั๊กอิน แต่เป็น “ปรมาจารย์ด้าน SEO” ที่ชาว WordPress ทุกคนคุ้นเคยและขาดไม่ได้
คำถามที่พบบ่อย (FAQ)
คำถามที่ 1: ถ้าฉันได้ “ไฟเขียว” ครบทุกดวงใน Yoast SEO จะการันตีว่าเว็บไซต์จะติดอันดับ 1 บน Google หรือไม่?
คำตอบ: ไม่การันตีครับ การได้ไฟเขียวหมายความว่าบทความหรือหน้านั้นๆ ของคุณมีโครงสร้าง On-Page SEO ที่ “ดีเยี่ยม” ซึ่งเป็นเพียงหนึ่งในปัจจัยสำคัญของการจัดอันดับเท่านั้น ปัจจัยอื่นๆ ที่ Google นำมาพิจารณาด้วยมีอีกมากมาย เช่น คุณภาพและจำนวนของ Backlinks (Off-Page SEO), ความเร็วของเว็บไซต์ (Site Speed), ประสบการณ์ผู้ใช้ (User Experience), และค่าอำนาจของโดเมน (Domain Authority) อย่างไรก็ตาม การมี On-Page SEO ที่สมบูรณ์แบบคือรากฐานที่แข็งแกร่งที่สุดที่คุณสามารถควบคุมได้ และเป็นสิ่งที่ต้องทำให้ดีก่อนจะไปหวังผลจากปัจจัยอื่นๆ
คำถามที่ 2: จำเป็นต้องใช้ Focus Keyphrase แบบตรงตัวเป๊ะๆ ในบทความหรือไม่?
คำตอบ: ไม่จำเป็นเสมอไปครับ ในยุคปัจจุบัน Google ฉลาดขึ้นมากและเข้าใจในสิ่งที่เรียกว่า “Semantic Search” หรือการค้นหาตามความหมาย ซึ่งหมายความว่า Google เข้าใจคำพ้องความหมาย (Synonyms) และคำที่เกี่ยวข้องกัน (Related Terms) ได้เป็นอย่างดี สิ่งสำคัญที่สุดคือการเขียนให้เป็นธรรมชาติและมีประโยชน์ต่อผู้อ่าน ใช้ Focus Keyphrase เป็นแนวทางหลัก แต่สามารถปรับเปลี่ยนหรือใช้คำอื่นๆ ที่มีความหมายใกล้เคียงกันได้ ซึ่ง Yoast SEO Premium จะมีความสามารถในการวิเคราะห์คำพ้องความหมายเหล่านี้ได้ดีกว่าเวอร์ชันฟรี
คำถามที่ 3: Yoast SEO เป็นปลั๊กอิน SEO ที่ฉันจำเป็นต้องมีใช่หรือไม่?
คำตอบ: สำหรับการทำ On-Page SEO และ Technical SEO ขั้นพื้นฐานถึงปานกลาง “ใช่ครับ” Yoast SEO ถือว่าครบครันมาก อย่างไรก็ตาม การทำ SEO แบบองค์รวมอาจต้องใช้เครื่องมืออื่นร่วมด้วย เช่น
เครื่องมือวิเคราะห์ Backlink: เช่น Ahrefs, Moz, Majestic เพื่อตรวจสอบโปรไฟล์ลิงก์ของเว็บไซต์ ดังนั้น อาจกล่าวได้ว่า Yoast SEO คือ “หัวใจหลัก” ของการทำ SEO บน WordPress แต่ไม่ใช่เครื่องมือเพียงชิ้นเดียวในกล่องเครื่องมือทั้งหมดของคุณ
เครื่องมือวิเคราะห์คีย์เวิร์ด: เช่น Google Keyword Planner, Ahrefs, SEMrush เพื่อค้นหาคีย์เวิร์ดที่เหมาะสมก่อนจะเริ่มเขียน
เครื่องมือเพิ่มความเร็วเว็บ: เช่น ปลั๊กอิน Caching (WP Rocket, W3 Total Cache) หรือปลั๊กอินบีบอัดรูปภาพ (Smush, ShortPixel)
อยากให้เว็บไซต์ WordPress ของคุณติดหน้าแรก Google บ้างใช่ไหม?
คุณได้เรียนรู้พลังของ Yoast SEO จากบทความนี้แล้ว แต่การจะปรับแต่งให้ได้ผลลัพธ์สูงสุด แซงหน้าคู่แข่ง ต้องอาศัยทั้งประสบการณ์และความเชี่ยวชาญ
ให้ Pui Digital Marketing เปลี่ยนความรู้ทั้งหมดนี้ ให้กลายเป็น “ผลลัพธ์ทางธุรกิจ” ที่จับต้องได้สำหรับคุณ
เราคือผู้เชี่ยวชาญด้านการทำ SEO สำหรับเว็บไซต์ WordPress โดยเฉพาะ พร้อมวางกลยุทธ์ที่เหมาะสมกับธุรกิจของคุณ เพื่อเพิ่มจำนวนผู้เข้าชม สร้างโอกาสทางการขาย และเติบโตอย่างยั่งยืน
รับทำ SEO เว็บไซต์ WordPress | ติดต่อ Pui Digital Marketing
โทร: 0996203308
Line ID: @puidigitalmkt
คลิกลิงก์แอดไลน์: https://line.me/R/ti/p/@puidigitalmkt