คุณเคยสงสัยไหมว่า… ทำไมเว็บไซต์ของคุณที่ทุ่มเททั้งแรงกายแรงใจสร้างขึ้นมา ถึงไม่ปรากฏบนหน้าแรกของ Google เสียที? คุณสร้างเนื้อหาที่ดี มีสินค้าและบริการที่ยอดเยี่ยม แต่กลับดูเหมือน “ล่องหน” ในโลกออนไลน์ ปัญหานี้อาจไม่ได้เกิดจากโชคร้าย แต่เกิดจาก ข้อผิดพลาดด้าน SEO (Search Engine Optimization) ที่คุณอาจทำลงไปโดยไม่รู้ตัว
การทำ SEO ไม่ใช่เรื่องของเทคนิคลับดำมืดอีกต่อไป แต่เป็นศาสตร์และศิลป์ของการทำให้เว็บไซต์ของคุณ “เป็นมิตร” กับทั้งผู้ใช้งานและ Search Engine อย่าง Google มากที่สุด อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางข้อมูลมหาศาล มีข้อผิดพลาดพื้นฐานหลายอย่างที่นักการตลาดและเจ้าของธุรกิจมักจะมองข้ามไป ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่ออันดับเว็บไซต์
บทความนี้จะพาคุณเจาะลึก 5 ข้อผิดพลาด SEO ที่พบบ่อยที่สุด พร้อมชี้แนะวิธีการแก้ไขที่ทำตามได้จริง เพื่อปลดล็อกศักยภาพของเว็บไซต์คุณให้ทะยานขึ้นสู่อันดับที่ดีกว่า สร้าง Traffic ที่มีคุณภาพ และเพิ่มโอกาสทางธุรกิจได้อย่างยั่งยืน
ข้อผิดพลาดที่ 1: ละเลยการวิจัยคีย์เวิร์ด (Keyword Research) และเลือกใช้ผิดวิธี
นี่คือกับดักที่ใหญ่และอันตรายที่สุด การไม่ทำ Keyword Research ก็เปรียบเสมือนการออกเรือโดยไม่มีแผนที่ คุณอาจจะผลิตเนื้อหาที่ดีเลิศ แต่ถ้าไม่มีใครใช้คำเหล่านั้นค้นหา เนื้อหาของคุณก็จะไม่มีวันถูกค้นพบ
ลักษณะของข้อผิดพลาด:
- เดาคีย์เวิร์ด: ใช้ความรู้สึกหรือคำศัพท์เฉพาะทางของธุรกิจตัวเองเป็นหลัก โดยไม่ตรวจสอบว่าลูกค้าตัวจริงใช้คำว่าอะไรในการค้นหา
- มุ่งเป้าไปที่คีย์เวิร์ดกว้างๆ (Broad Keywords) ที่มีการแข่งขันสูงเกินไป: เช่น พยายามจะติดอันดับด้วยคำว่า “รองเท้า” ซึ่งมีการแข่งขันจากแบรนด์ยักษ์ใหญ่ ทำให้โอกาสติดอันดับแทบเป็นศูนย์
- Keyword Stuffing: การยัดเยียดคีย์เวิร์ดเดียวกันซ้ำๆ ในบทความอย่างผิดธรรมชาติ เพราะเชื่อว่าจะทำให้ Google ชอบ ซึ่งในความเป็นจริงกลับส่งผลเสียอย่างร้ายแรงต่อทั้งอันดับและประสบการณ์ของผู้อ่าน
วิธีการแก้ไข:
- ทำความเข้าใจ “เจตนาการค้นหา” (Search Intent): ก่อนจะเลือกคีย์เวิร์ด ให้ถามตัวเองก่อนว่า คนที่ค้นหาด้วยคำๆ นี้ต้องการอะไร?
- Informational Intent: ต้องการข้อมูล (เช่น “วิธีทำ SEO”)
- Navigational Intent: ต้องการไปยังเว็บไซต์ที่เจาะจง (เช่น “Facebook login”)
- Transactional Intent: ต้องการซื้อ (เช่น “ซื้อ iPhone 15 Pro”)
- Commercial Investigation: กำลังเปรียบเทียบเพื่อตัดสินใจซื้อ (เช่น “รีวิว iPhone 15 vs Samsung S25”) การเลือกคีย์เวิร์ดที่ตรงกับ Search Intent ของเนื้อหา จะช่วยให้คุณตอบสนองความต้องการของ User ได้อย่างตรงจุด
- ใช้เครื่องมือช่วยวิจัยคีย์เวิร์ด:
- เครื่องมือฟรี: Google Keyword Planner, Ubersuggest (เวอร์ชันฟรี), Google Trends
- เครื่องมือแบบชำระเงิน: Ahrefs, SEMrush เป็นเครื่องมือที่ให้ข้อมูลเชิงลึกและแม่นยำสูง มองหาคีย์เวิร์ดที่มี ปริมาณการค้นหา (Search Volume) เหมาะสม และ ค่าความยาก (Keyword Difficulty) ไม่สูงจนเกินไป
- เล็งเป้าไปที่ “Long-tail Keywords”: คือคีย์เวิร์ดที่มีลักษณะเป็นวลียาวและเจาะจงมากขึ้น เช่น แทนที่จะใช้คำว่า “ประกันรถยนต์” ลองเปลี่ยนเป็น “ประกันรถยนต์ชั้น 1 บริษัทไหนดี 2568” แม้จะมีปริมาณการค้นหาน้อยกว่า แต่มีการแข่งขันต่ำกว่าและมีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนเป็นลูกค้าได้สูงกว่ามาก
- ผสานคีย์เวิร์ดอย่างเป็นธรรมชาติ: นำคีย์เวิร์ดหลักและคีย์เวิร์ดรองที่เกี่ยวข้อง (LSI Keywords) มาสอดแทรกในส่วนต่างๆ ของบทความอย่างเป็นธรรมชาติ เช่น ในชื่อเรื่อง (Title), หัวข้อย่อย (Headings), ย่อหน้าแรก, เนื้อหา, และใน Alt Text ของรูปภาพ โดยยึดหลักว่า “เขียนให้คนอ่าน ไม่ใช่เขียนให้บอทอ่าน”
อผิดพลาดที่ 2: สร้างเนื้อหาที่ไม่มีคุณภาพและไม่ตอบโจทย์ผู้ใช้
เนื้อหาที่มีคุณภาพสูง ไม่ใช่แค่เนื้อหาที่มีตัวอักษรเยอะๆ Google ฉลาดขึ้นทุกวัน โดยใช้อัลกอริทึมที่เรียกว่า E-E-A-T (Experience, Expertise, Authoritativeness, and Trustworthiness) ในการประเมินคุณภาพของหน้าเว็บ
ลักษณะของข้อผิดพลาด:
- Thin Content: เนื้อหาสั้นเกินไป มีข้อมูลน้อย ไม่ได้ให้ความรู้หรือแก้ปัญหาให้ผู้อ่านได้อย่างแท้จริง
- เนื้อหาลอกเลียนแบบ (Duplicate Content): การคัดลอกเนื้อหาจากเว็บไซต์อื่นมาแปะในเว็บของตัวเอง ถือเป็นความผิดร้ายแรงในสายตา Google
- เนื้อหาไม่เป็นมิตรต่อผู้ใช้: จัดหน้าไม่สวยงาม เป็นตัวหนังสือพรืดติดกันเป็นแพ ไม่มีหัวข้อแบ่ง ไม่มีรูปภาพประกอบ ทำให้อ่านยากและน่าเบื่อ
วิธีการแก้ไข:
- สร้างสรรค์เนื้อหาที่ “ครอบคลุม” และ “ลึกซึ้ง”: ก่อนเขียน ให้ค้นหาดูก่อนว่าคู่แข่งที่ติดอันดับในหน้าแรกเขียนเกี่ยวกับอะไรบ้าง จากนั้นสร้างเนื้อหาของคุณให้ดีกว่า ละเอียดกว่า และครอบคลุมทุกแง่มุมที่ผู้ค้นหาอาจอยากรู้
- ยึดหลัก E-E-A-T:
- Experience: เขียนจากประสบการณ์จริง (ถ้าทำได้) เช่น รีวิวสินค้าที่เคยใช้จริง
- Expertise: แสดงความเชี่ยวชาญในเรื่องนั้นๆ ให้ข้อมูลที่ถูกต้องและลึกซึ้ง
- Authoritativeness: สร้างความน่าเชื่อถือให้ตัวเองและเว็บไซต์ในวงการนั้นๆ
- Trustworthiness: ทำให้เว็บไซต์ดูน่าเชื่อถือ เช่น มีหน้า “เกี่ยวกับเรา” “ติดต่อเรา” ที่ชัดเจน อ้างอิงแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้
- จัดรูปแบบเนื้อหาให้อ่านง่าย (Readability):
- ใช้แท็กหัวข้อ
<h1>,<h2>,<h3>เพื่อแบ่งโครงสร้างบทความ - ใช้ย่อหน้าสั้นๆ
- ใช้ Bullet points หรือ Numbered lists เพื่อสรุปประเด็น
- ใช้ ตัวหนา หรือ ตัวเอียง เพื่อเน้นคำสำคัญ
- แทรกรูปภาพ, Infographic, หรือวิดีโอที่เกี่ยวข้องเพื่อช่วยอธิบายและดึงดูดสายตา
- ใช้แท็กหัวข้อ
ข้อผิดพลาดที่ 3: มองข้าม Technical SEO
Technical SEO คือโครงสร้างหลังบ้านของเว็บไซต์ที่ส่งผลโดยตรงต่อการจัดเก็บข้อมูล (Indexing) และการจัดอันดับของ Google ต่อให้คุณมีเนื้อหาดีแค่ไหน แต่ถ้าเว็บไซต์ของคุณมีปัญหาทางเทคนิค Google Bot ก็อาจเข้ามาเก็บข้อมูลได้ไม่สะดวก หรือมองว่าเว็บไซต์ของคุณมีประสบการณ์ใช้งานที่แย่
ลักษณะของข้อผิดพลาด:
- เว็บไซต์โหลดช้า: ผู้ใช้สมัยใหม่ใจร้อน หากเว็บของคุณโหลดเกิน 3-4 วินาที พวกเขาก็พร้อมจะกดปิดทันที ซึ่ง Google มองว่านี่คือสัญญาณของประสบการณ์ผู้ใช้ที่ไม่ดี (Poor User Experience)
- เว็บไซต์ไม่รองรับมือถือ (Mobile-Friendly): ปัจจุบัน การค้นหาส่วนใหญ่เกิดขึ้นบนมือถือ Google จึงใช้ “Mobile-First Indexing” คือจะใช้เวอร์ชันมือถือของเว็บคุณเป็นหลักในการจัดอันดับ
- โครงสร้างเว็บไซต์ซับซ้อน (Complex Site Structure): ทำให้ทั้งผู้ใช้และ Google Bot หาสิ่งที่ต้องการไม่เจอ
- มีลิงก์เสีย (Broken Links): ลิงก์ที่คลิกไปแล้วเจอหน้า 404 Error สร้างประสบการณ์ที่ไม่ดี
วิธีการแก้ไข:
- เพิ่มความเร็วเว็บไซต์:
- ใช้เครื่องมือ Google PageSpeed Insights เพื่อตรวจสอบความเร็วและรับคำแนะนำในการปรับปรุง
- บีบอัดขนาดไฟล์รูปภาพก่อนอัปโหลด
- เลือกใช้ Web Hosting ที่มีคุณภาพ
- ใช้ปลั๊กอิน Caching (สำหรับ WordPress เช่น WP Rocket, W3 Total Cache)
- ทำให้เว็บรองรับมือถือ:
- ใช้เครื่องมือ Google’s Mobile-Friendly Test เพื่อตรวจสอบ
- เลือกใช้ WordPress Theme ที่เป็นแบบ Responsive (ปรับการแสดงผลตามขนาดหน้าจออัตโนมัติ)
- สร้างแผนผังเว็บไซต์ (XML Sitemap): สร้างและส่ง XML Sitemap ผ่านทาง Google Search Console เพื่อช่วยให้ Google Bot เข้าใจโครงสร้างและเข้ามาเก็บข้อมูลเว็บของคุณได้ง่ายขึ้น
- ตรวจสอบและแก้ไขลิงก์เสีย: ใช้เครื่องมือเช่น Ahrefs หรือปลั๊กอิน Broken Link Checker เพื่อค้นหาและแก้ไขลิงก์ที่เสียอยู่เสมอ
ข้อผิดพลาดที่ 4: ละเลย On-Page SEO ขั้นพื้นฐาน
On-Page SEO คือการปรับแต่งองค์ประกอบต่างๆ “บนหน้าเว็บ” ของคุณโดยตรง เป็นสิ่งที่ทำได้ง่ายและเห็นผลเร็วที่สุด แต่หลายคนกลับมองข้ามไปอย่างน่าเสียดาย
ลักษณะของข้อผิดพลาด:
- ไม่ใส่ใจ Title Tag และ Meta Description: ปล่อยให้ระบบสร้างให้เอง หรือเขียนแบบขอไปที ทำให้ไม่น่าสนใจและไม่สื่อถึงเนื้อหาของหน้าเว็บนั้นๆ
- ไม่ใช้ Header Tags (H1, H2, H3) อย่างถูกต้อง: ใช้ขนาดตัวอักษรแทนการใช้ Header Tag ซึ่งทำให้ Google ไม่เข้าใจลำดับความสำคัญของเนื้อหา
- ไม่อัปโหลดรูปภาพอย่างถูกต้อง: ไม่ใส่ Alt Text (Alternative Text) ให้กับรูปภาพ ทำให้พลาดโอกาสในการติดอันดับบน Google Images และผู้ที่มีปัญหาทางสายตาก็จะไม่เข้าใจว่ารูปนั้นคืออะไร
วิธีการแก้ไข:
- เขียน Title Tag ที่น่าดึงดูด:
- ความยาวไม่เกิน 60 ตัวอักษร
- ใส่คีย์เวิร์ดหลักไว้ตอนต้น
- เขียนให้ชวนคลิก (เช่น ใช้ตัวเลข, ตั้งคำถาม, สื่อถึงประโยชน์)
- ตัวอย่าง: “5 ข้อผิดพลาด SEO ที่ฉุดอันดับเว็บคุณ (พร้อมวิธีแก้)”
- เขียน Meta Description ที่น่าสนใจ:
- ความยาวไม่เกิน 160 ตัวอักษร (แสดงผลจริงประมาณ 130-150)
- เป็นเหมือนคำโฆษณาสั้นๆ ของหน้านั้นๆ สรุปใจความสำคัญ
- ใส่คีย์เวิร์ดหลักและคำกระตุ้นให้คลิก (Call-to-Action) เช่น “อ่านเลย”, “ค้นพบวิธี”
- ใช้ Header Tags ให้ถูกลำดับ:
<h1>: ใช้สำหรับชื่อเรื่องหลักของหน้า มีได้แค่ 1 ครั้งต่อหน้า<h2>: ใช้สำหรับหัวข้อหลัก<h3>: ใช้สำหรับหัวข้อย่อยของ<h2>
- ปรับแต่งรูปภาพ (Image Optimization):
- ตั้งชื่อไฟล์: ใช้ชื่อไฟล์ที่สื่อความหมายและมีคีย์เวิร์ด (เช่น
seo-mistakes-infographic.jpgแทนIMG_8871.jpg) - ใส่ Alt Text: เขียนคำอธิบายรูปภาพสั้นๆ โดยมีคีย์เวิร์ดประกอบ เพื่อให้ Google เข้าใจว่ารูปนั้นคืออะไร
- ตั้งชื่อไฟล์: ใช้ชื่อไฟล์ที่สื่อความหมายและมีคีย์เวิร์ด (เช่น
ข้อผิดพลาดที่ 5: เข้าใจเรื่อง Backlink ผิดๆ
Backlink คือลิงก์ที่เว็บไซต์อื่นชี้กลับมายังเว็บไซต์ของเรา เปรียบเสมือน “เสียงโหวต” ที่บอก Google ว่าเว็บไซต์ของคุณมีคุณภาพและน่าเชื่อถือ แต่ไม่ใช่ทุกเสียงโหวตจะมีค่าเท่ากัน
ลักษณะของข้อผิดพลาด:
- ไม่สนใจสร้าง Backlink เลย: ทำให้เว็บไซต์ขาดความน่าเชื่อถือในสายตา Google แม้เนื้อหาจะดีก็ตาม
- สร้าง Backlink ที่ไม่มีคุณภาพ: ไปซื้อลิงก์ราคาถูก, สแปมลิงก์ตามเว็บบอร์ดหรือคอมเมนต์, แลกเปลี่ยนลิงก์กับเว็บที่ไม่มีความเกี่ยวข้อง การกระทำเหล่านี้เรียกว่า “Black Hat SEO” ซึ่งอาจทำให้เว็บถูกลงโทษ (Penalty) จาก Google ได้
วิธีการแก้ไข:
- เน้นคุณภาพมากกว่าปริมาณ: Backlink 1 ลิงก์จากเว็บไซต์ใหญ่ที่มีชื่อเสียงและเกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณ (เช่น เว็บข่าวเทคโนโลยีลิงก์มาหาเว็บรีวิวมือถือของคุณ) มีค่ามากกว่าลิงก์จากเว็บสแปมร้อยเว็บ
- สร้างเนื้อหาที่คนอยากจะลิงก์หา (Link-worthy Content):
- สร้างงานวิจัยหรือผลสำรวจในอุตสาหกรรมของคุณ
- ทำ Infographic ที่สวยงามและให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์
- เขียนบทความ “Ultimate Guide” ที่สมบูรณ์ที่สุดในเรื่องนั้นๆ
- ทำ Guest Posting: เขียนบทความคุณภาพไปลงในเว็บไซต์อื่นที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณ และใส่ลิงก์กลับมายังเว็บไซต์ของคุณ (อย่างเป็นธรรมชาติ)
- Broken Link Building: ค้นหาลิงก์เสียบนเว็บไซต์คุณภาพอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง แล้วเสนอเนื้อหาที่ใกล้เคียงกันจากเว็บของคุณไปให้เขาใช้แทนที่
บทสรุป: เปลี่ยนข้อผิดพลาดให้เป็นโอกาส
การทำ SEO ให้ประสบความสำเร็จไม่ใช่การวิ่งแข่งระยะสั้น แต่เป็นการวิ่งมาราธอนที่ต้องอาศัยความสม่ำเสมอและการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง ข้อผิดพลาดทั้ง 5 ประการที่กล่าวมา ตั้งแต่ การละเลยคีย์เวิร์ด, การสร้างเนื้อหาคุณภาพต่ำ, การมองข้ามเทคนิคอล, การไม่ใส่ใจ On-Page พื้นฐาน ไปจนถึงการเข้าใจเรื่อง Backlink ผิดๆ ล้วนเป็นจุดบอดที่สามารถฉุดรั้งเว็บไซต์ของคุณไว้ไม่ให้เติบโต
เหตุผลสำคัญที่คุณต้องแก้ไขข้อผิดพลาดเหล่านี้ก็คือ หัวใจของ SEO ในปัจจุบันคือการมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับผู้ใช้งาน (User Experience) Google ต้องการจัดอันดับเว็บไซต์ที่ตอบคำถามของผู้ค้นหาได้ดีที่สุด, ใช้งานง่าย, โหลดเร็ว, และน่าเชื่อถือ การแก้ไขข้อผิดพลาดเหล่านี้จึงไม่ใช่แค่การเอาใจ Google แต่เป็นการปรับปรุงเว็บไซต์ของคุณเพื่อ “ลูกค้า” ตัวจริงของคุณเอง
จงเริ่มต้นจากการตรวจสอบเว็บไซต์ของคุณวันนี้ แก้ไขทีละจุดอย่างใจเย็น และที่สำคัญที่สุดคือ สร้างสรรค์เนื้อหาที่เป็นประโยชน์อย่างสม่ำเสมอ แล้วคุณจะพบว่าการติดอันดับบนหน้าแรกของ Google ไม่ใช่เรื่องไกลเกินฝันอีกต่อไป
คำถามที่พบบ่อย (FAQ)
1. ต้องใช้เวลานานแค่ไหนถึงจะเห็นผลลัพธ์จากการปรับแก้ SEO?
คำตอบ: โดยทั่วไปแล้ว การปรับแก้ SEO ต้องใช้เวลาพอสมควร อาจจะเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ ได้ใน 1-3 เดือน แต่การจะเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนและอันดับที่มั่นคงมักจะใช้เวลา 4-12 เดือน ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น การแข่งขันของคีย์เวิร์ด, คุณภาพของเว็บไซต์, และความสม่ำเสมอในการปรับปรุง
2. จำเป็นต้องใช้เครื่องมือ SEO แบบเสียเงินไหม?
คำตอบ: ไม่จำเป็นเสมอไป สำหรับผู้เริ่มต้น เครื่องมือฟรีอย่าง Google Search Console, Google Analytics, และ Google Keyword Planner ก็ให้ข้อมูลที่ทรงพลังและเพียงพอต่อการเริ่มต้นแล้ว แต่เมื่อคุณต้องการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก, วิเคราะห์คู่แข่ง, หรือทำงานอย่างจริงจังมากขึ้น การลงทุนกับเครื่องมือแบบชำระเงิน เช่น Ahrefs หรือ SEMrush จะช่วยให้คุณทำงานได้เร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้นอย่างมาก
3. ระหว่าง On-Page SEO กับ Off-Page SEO ควรให้ความสำคัญกับอะไรก่อน?
คำตอบ: ควรเริ่มต้นที่ On-Page SEO และ Technical SEO ก่อนเสมอ เปรียบเสมือนการสร้างบ้านให้แข็งแรงและน่าอยู่ (เนื้อหาดี, โครงสร้างเว็บดี, โหลดเร็ว) ก่อนที่จะไปเชิญชวนคนอื่นให้มาเยี่ยมชม (การทำ Off-Page SEO หรือสร้าง Backlink) หากบ้านของคุณยังไม่พร้อม การเชิญคนมาก็เปล่าประโยชน์ และอาจสร้างประสบการณ์ที่ไม่ดีกลับไปอีกด้วย
ติดต่อ Pui Digital Marketing | รับทำ SEO WordPress
โทร: 0996203308
Line ID: @puidigitalmkt
คลิกลิงก์แอดไลน์: https://line.me/R/ti/p/@puidigitalmkt


